หน้าหลัก คาสิโน สล็อต โปรโมชั่น บทความ/ข่าวกีฬา วิธีฝาก-ถอน ติดต่อเรา
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก

บทความ / ข่าว

วันที่อาร์เซน่อล เซ็นสัญญากับเมซุต โอซิลในซัมเมอร์ปี 2013 ว่ากันตรงๆ นี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ทีมปืนใหญ่ต้องการที่สุด


สาเหตุเพราะเพลย์เมกเกอร์ในทีมมีเยอะแยะจนล้น ซานติ กาซอร์ล่า, แอร่อน แรมซีย์, แจ๊ค วิลเชียร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หรืออาจรวมถึงโทมัส โรซิคกี้ที่เจ็บบ่อย และยังไม่นับดาวรุ่งแซร์ช นาบรี้ ที่กำลังจะแจ้งเกิดขึ้นมา

สาเหตุเพราะเพลย์เมกเกอร์ในทีมมีเยอะแยะจนล้น ซานติ กาซอร์ล่า, แอร่อน แรมซีย์, แจ๊ค วิลเชียร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หรืออาจรวมถึงโทมัส โรซิคกี้ที่เจ็บบ่อย และยังไม่นับดาวรุ่งแซร์ช นาบรี้ ที่กำลังจะแจ้งเกิดขึ้นมา Test Facebook Link

ตำแหน่งที่อาร์เซน่อลต้องการจริงๆ คือมิดฟิลด์จอมทัพ ในสไตล์ปาทริก วิเอร่า เพราะในทีมขณะนั้นกลุ่มมิดฟิลด์ตัวรับ มีมิเกล อาร์เตต้า (32 ปี) ซึ่งก็อายุเยอะแล้ว ,มาติเยอ ฟลามินี่ (30 ปี) ที่เพิ่งเซ็นฟรีกลับมาจากเอซี มิลาน รวมถึงอาบู ดิยาบี้ ที่อยู่ในโรงพยาบาลมากกว่าอยู่ในสนามซ้อม

ช่วงซัมเมอร์มีข่าวลือว่า เชส ฟาเบรกาส ไม่ค่อยแฮปปี้ที่บาร์เซโลน่าและอยากกลับมาที่อาร์เซน่อล ซึ่งฟาเบรกาสก็ตอบโจทย์อยู่ เพราะเขาเล่นมิดฟิลด์ตัวกลางได้สบายๆเลย อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ ณ เวลานั้น เมซุต โอซิล ก็แสดงเจตจำนงว่าอยากย้าย ซึ่งฝั่งเรอัล มาดริดก็คอนเฟิร์มว่าพร้อมจะปล่อยตัว

โอซิลคือเพชรเม็ดงามของทีมชาติเยอรมัน เขาทำสถิติแอสซิสต์กระจุยในลาลีกา และมีอายุแค่ 24 ปีเท่านั้น จุดพีกในอาชีพยังมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้อาร์เซน่อลหูผึ่งทันที ถ้าได้ตัวโอซิลมาล่ะก็ มันคือดีลประวัติศาสตร์ชัดๆ ต่อให้ในทีมจะมีเพลย์เมกเกอร์อยู่เยอะไปหมด ยังไงถ้ามีโอกาสได้โอซิลล่ะก็ มันก็ต้องเอา

แต่ปัญหาคือ ของดี ย่อมมาพร้อมกับราคาที่แพง เรอัล มาดริดตั้งราคาโอซิลสูงถึง 42.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเจอตัวเลขนี้อาร์เซน่อลก็ผงะเหมือนกัน เพราะในประวัติศาสตร์ของสโมสรเคย จ่ายเงินซื้อนักเตะแพงที่สุดคือ 15 ล้านปอนด์ (อันเดรย์ อาร์ชาวิน จากเซนิตในปี 2009) ดังนั้น เมื่อโดนเรียกราคา 42.5 ล้านปอนด์ หมายความว่าแพงกว่าสถิติเดิมเกือบ 3 เท่าตัว

เงินน่ะ ทีมปืนใหญ่ พอจะหาได้ แต่นั่นหมายถึงงบประมาณทั้งหมดในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ถ้าซื้อโอซิลแล้วก็ไม่สามารถมีเงินซื้อตัวอื่นได้อีกเลย ซึ่งรวมถึงฟาเบรกาสด้วย นั่นทำให้ผู้บริหาร และตัวอาร์แซน เวนเกอร์เองจำเป็นต้องตัดสินใจ ว่าจะเลือกทางเพลย์เซฟ เอาฟาเบรกาส ที่เล่นได้แน่ๆ หรือเลือกทางเสี่ยงไปเลย วัดใจกับโอซิล

ปรากฏว่า อาร์เซน่อลเลือกโอซิล เขาย้ายมาอังกฤษแล้วรับค่าเหนื่อย 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่คือดีลที่แฟนทีมปืนใหญ่ตื่นเต้นที่สุดในรอบทศวรรษ แฟนบอลสดุดีสโมสรที่คว้าตัวนักเตะบิ๊กเนมมาครองได้สำเร็จ ว่ากันตรงๆ มันคือชัยชนะทางการตลาด เพราะยอดขายเสื้อของโอซิลขายดีถล่มทลาย

ในซัมเมอร์ 2013 โอซิลคือนักเตะคนเดียวที่อาร์เซน่อลซื้อ เพราะนั่นคืองบทั้งหมดที่มี ที่เหลือก็ใช้วิธีเซ็นฟรีเอา พวกยาย่า ซาโนโก้ หรือ มาติเยอ ฟลามินี่

เมื่ออาร์เซน่อลไม่มีเงินแล้ว ฟาเบรกาสจึงต้องอยู่กับบาร์ซ่าต่อไปอีก 1 ซีซั่น ก่อนที่จะเป็นเชลซี ที่เสียบแทน จ่ายเงิน 28 ล้านปอนด์ดึงตัวกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในที่สุด ซึ่งทันทีที่ฟาเบรกาสย้ายกลับมา เขาก็ช่วยเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทันที

การย้ายเข้ามาของโอซิลนั้น สร้างความตื่นตะลึงมากๆในช่วงแรก แฮชแท็ก How may I assist you? (ผมจะช่วยคุณอย่างไรได้บ้าง เล่นคำแอสซิสต์) ติดเทรนด์ของทวิตเตอร์ การได้นักเตะระดับโลกขนาดนี้ ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้างล่ะ

ถ้าถามว่าโอซิลเล่นดีไหม คำตอบคือ ก็มีช่วงที่ดี และช่วงที่เงียบ ปีที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโอซิล คือซีซั่น 2015-16 เขาทำไป 19 แอสซิสต์ และพาอาร์เซน่อลเอาชนะทีมแชมป์เลสเตอร์ ได้ทั้งเหย้าและเยือน จนมีชื่อเข้าชิงนักเตะยอดเยี่ยมของ PFA

ขณะที่ประตูคลาสสิคที่เขายิงใส่ลูโดโกเร็ตส์ ในยูโรป้าลีก ในปี 2016 ไม่มีวันที่จะลืมลง เขากระดกข้ามหัวผู้รักษาประตู แล้วล็อกหลบสองกองหลังล้มระเนระนาด ก่อนยิงเข้าไปแบบมหัศจรรย์สุดๆ คือในช่วงดีๆ ของโอซิลกับอาร์เซน่อลก็มีเยอะ

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าช่วงที่เล่นกับอาร์เซน่อล โอซิลไม่ได้เปล่งประกายอย่างสุดยอด เหมือนตอนอยู่กับเรอัล มาดริด หรือตอนเล่นให้ทีมชาติเยอรมัน บางนัดก็ดีใจหาย แต่หลายๆนัด ก็หายไปจากเกม ไม่มีความสม่ำเสมอแน่นอน

จุดสำคัญที่โอซิลไม่ท็อปฟอร์มที่อาร์เซน่อล เป็นเพราะแท็กติกการเล่นที่ไม่ตอบโจทย์เขา โอซิลเป็นเบอร์ 10 แบบดั้งเดิม (Classic no.10) ชอบยืนอยู่ระหว่างไลน์กองหลัง และไลน์กองกลางของคู่แข่ง พยายามหาช่องแอสซิสต์ให้กองหน้าวิ่งเข้าไปจบสกอร์

การเล่นแบบนี้ คุณจำเป็นต้องมีกองหน้าแบบที่วิ่งหาช่องได้ดี พอโอซิลจ่ายปั๊บ ก็วิ่งไปจุดนัดพบแล้วยิงเปรี้ยงได้เลย ลองนึกถึงคอมบิเนชั่น โอซิล-โรนัลโด้ ตอนอยู่เรอัล มาดริด จ่ายแล้วจบ

แต่กองหน้าตัวจริงของอาร์เซน่อลตอนนั้นคือโอลิวิเยร์ ชิรูด์ ซึ่งสไตล์การเล่นไม่ใช่เลย โอซิลไม่สามารถวางบอลคิลเลอร์พาส แล้วให้ชิรูด์สปรินท์ไปเอาบอลได้ คือศักยภาพของตัวผู้เล่นที่มีมันไม่ตอบโจทย์กับความสามารถของโอซิล

โอซิลมีความฟิตก็จริง คำกล่าวที่บอกว่าเขาขี้เกียจ ไม่จริงเลย เพราะถ้าดูสถิติการวิ่งในแต่ละเกม โอซิลติดท็อปทรีของทีมตลอด แต่การที่เขาไม่โดดเด่นเพราะต่อให้วิ่งเพรสซิ่งแดนบนแย่งบอลมาได้ ก็ไม่รู้จะจ่ายไปให้ใครอยู่ดี ขณะที่ทักษะการจบสกอร์เขาก็ไม่ได้ดีมาก ถ้าเทียบกับบรูโน่ เฟอร์นันเดสจะเห็นภาพชัดเจน คือโอซิลไม่มีพลังจะทะลวงไปยิงประตูได้แบบนั้น

อย่างไรก็ตาม โอซิลก็ยังประคองตัวเองมาได้เรื่อยๆ ไม่ได้พีกสุดๆ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก ขณะที่ยอดขายเสื้อของทีมยังเป็นเบอร์ 1 ตลอด

จะดีจะร้ายโอซิลก็ยังมีพลังการตลาดที่แข็งแกร่ง คุณภาพก็ไม่ได้เลวร้าย ยังไงก็เป็นตัวจริงทีมชาติเยอรมัน ถ้าถามว่าการเซ็น 42.5 ล้านปอนด์ ซื้อโอซิลมาในปี 2013 เป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่ คำตอบคือ ใช่

ถ้าบอกว่าโอซิลเล่นแย่ไม่คู่ควรราคา 42.5 ล้านปอนด์ ไปดูนิโกลาส์ เปเป้ (72 ล้านปอนด์) กับ ชโคดราน มุสตาฟี่ (35 ล้านปอนด์) จะเห็นว่ามูลค่าที่จ่ายให้โอซิลเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลแล้ว

31 มกราคม 2018 โอซิลจะหมดสัญญากับสโมสรในอีก 5 เดือนข้างหน้า และสามารถย้ายทีมได้ฟรีตามกฎบอสแมนทันที ซึ่งเขามีข่าวลือกับทีมใหญ่มากมาย แต่สุดท้าย อาร์เซน่อลยอมทุ่มเงินมหาศาลถึง 350,000 ปอนด์ เพื่อรั้งโอซิลเอาไว้ จนถึงซัมเมอร์ปี 2021

ที่ผ่านมา อาร์เซน่อลเคยโดนอเล็กซิส ซานเชซ มัดมือชก บีบย้ายไปแมนฯยูไนเต็ดมาแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการเก็บโอซิลเอาไว้ให้เป็นกำลังหลักของทีมต่อไป

 

แต่ปัญหาของโอซิลเกิดขึ้นหลังจากอาร์เซน่อลประกาศแยกทางกับอาร์แซน เวนเกอร์ในซัมเมอร์ปี 2018 คือเวนเกอร์นั้นเป็นคนที่เข้าใจศักยภาพของโอซิลดีที่สุด

เขารู้ว่านักเตะจะระเบิดผลงานได้ ถ้าได้อิสระในเกมรุก มีเวลาให้คิดจินตนาการ โดยไม่ต้องไปโฟกัสที่เกมรับมากนัก

แต่โค้ชคนใหม่อูไน เอเมรี่ เขามีแนวทางต่างออกไป เอเมรี่ต้องการให้โอซิลเป็นผู้นำทีม และวิ่งให้เยอะที่สุดทั้งตอนมีบอลและไม่มีบอล ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่โค้ชต้องการแบบนั้น แต่ปัญหาคือตัวโอซิล ก็อายุ 30 แล้ว เขาไม่สามารถปรับสไตล์การเล่น ให้วิ่งลงไปล้วงบอลจากแดนหลังได้หรอก

เมื่อไม่สามารถทำตามที่เอเมรี่ต้องการได้ โอซิลก็เริ่มเล่นไม่ครบ 90 นาที บางครั้งก็โดนดร็อปไปเลย และจุดแตกหักเกิดขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2019 อาร์เซน่อลไปเยือนบอร์นมัธ ก่อนเอาชนะได้ 2-1 โดยนัดนี้ โอซิลเป็นตัวสำรอง และไม่ถูกเรียกใช้งานแม้แต่นาทีเดียว

นักข่าวไปถามว่าทำไมไม่ใช้โอซิล เอเมรี่ตอบว่า "เราคิดว่าทีมต้องการความแข็งแกร่ง และความจริงจังอย่างเต็มที่ เพื่อเอาชนะบอร์นมัธให้ได้ ซึ่งในช่วงต้นซีซั่นเราคุยกันเสมอว่าถ้าเราอยากชนะ เราต้องสู้มากกว่านี้ และเราต้องการทีมที่เล่นอย่างมีวินัย"

คำพูดของเอเมรี่ เหมือนด่าโอซิลทางอ้อมว่า ถ้าส่งโอซิลลงทีมก็คงไม่แข็งแกร่ง เพราะโอซิลไม่ค่อยช่วยเพื่อนไล่บอลในแดนหลัง ไม่ทำให้เกมรับดีขึ้น ซึ่งมีรายงานว่า สองคนทะเลาะกันเสียงดังที่ห้องทำงานของเอเมรี่ เพราะโอซิลคิดว่าเอเมรี่ไม่ให้เกียรติเขาเลย

สงครามของโอซิลกับเอเมรี่ ก็ยังมาคุกันเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็จบลงเมื่อเอเมรี่โดนไล่ออกในเดือนพฤศจิกายน 2019 โดยอาร์เซน่อลแต่งตั้งเฟรดริค ลุงเบิร์ก เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวไปก่อน

สิ่งที่ลุงเบิร์กเห็น ตอนมาคุมทีมก็คิดคล้ายๆกับเอเมรี่ คือโอซิลไม่มีความมุ่งมั่นมากพอ วันที่ 15 ธันวาคม 2019 อาร์เซน่อลเปิดบ้านเจอแมนฯซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก ก่อนจะแพ้ยับเยิน 3-0 คาบ้าน โดยโอซิลโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 59 แล้วเป็นเอมิล สมิธ โรว์ ลงเล่นแทน

ตอนโอซิลเดินออกจากสนาม เขาเตะขวดน้ำเปรี้ยง ไม่พอใจการโดนเปลี่ยน ซึ่งลุงเบิร์กก็ชี้แจงว่า เขาต้องการทีมที่มีความมุ่งมั่น ดังนั้นจึงส่ง สมิธ โรว์ ที่กระหายในชัยชนะลงแทนดีกว่า

เมื่อโอซิลเตะขวดน้ำปั๊บ ทำให้ลุงเบิร์ก ไม่ส่งโอซิลลงในเกมต่อไปที่เจอเอฟเวอร์ตันเป็นการลงโทษที่ไม่ให้เกียรติโค้ชและเพื่อนร่วมทีม

ลุงเบิร์กเองก็รู้สึกได้ว่า ในขณะที่คนอื่นในทีมวิ่งกันเต็มที่ ช่วยกันเพรสซิ่งไล่บอล แต่โอซิลไม่ลงมาเล่นเกมรับ และไม่วิ่งจนสุดใจเลย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ใช้งานดาวรุ่งอย่างสมิธ โรว์ไปเลยยังจะดีซะกว่า

ลุงเบิร์กคุมอาร์เซน่อลเฉพาะกิจในช่วงสั้นๆ ก่อนที่สโมสรจะแต่งตั้งมิเกล อาร์เตต้าเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

เมื่ออาร์เตต้าเข้ามาคุม เขาพยายามเข้าใจโอซิลอย่างที่เวนเกอร์เคยเป็น อาร์เตต้าให้โอซิลลงเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่เขาถนัด และใน 10 เกมแรกของอาร์เตต้า โอซิลได้ลงตัวจริงทุกนัด คือตอนนี้เหมือนบรรยากาศดีๆ ของเขากับสโมสรจะเริ่มกลับมาแล้ว

แต่จุดแตกหักของโอซิลกับอาร์เตต้า เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องในสนามเลย แต่เป็นเรื่องของแนวคิดเรื่องการยอมลดค่าเหนื่อยของตัวเองในช่วงวิกฤติ

สาเหตุเพราะไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม บอลเตะไม่ได้ ของก็ขายไม่ได้ แต่สโมสรต้องจ่ายเงินให้ผู้เล่นทุกสัปดาห์ ทำให้ผู้บริหารอาร์เซน่อลถามนักเตะและโค้ชว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จนกว่าจะกลับมาแข่งอีกครั้ง นักเตะจะยอมลดรายได้ของตัวเองลง 12.5% เป็นการช่วยสโมสรในยามลำบาก

นักเตะทุกคน รวมถึงผู้จัดการทีมมิเกล อาร์เตต้า ตกลงช่วยสโมสร ยอมโดนลดค่าจ้าง 12.5% แต่มีอยู่สามคนที่ปฏิเสธ และหนึ่งในนั้นคือ โอซิล

โอซิลบอกว่า "ในฐานะนักเตะ เราก็อยากจะช่วย แต่ผมต้องการข้อมูลมากกว่านี้ มันต้องเห็นภาพชัดเจนว่าสโมสรเอาเงินไปทำอะไร ถ้าทุกอย่างเคลียร์ๆ จะให้ผมลดค่าจ้างมากกว่านี้ก็ได้ แต่ทุกอย่างมันเร่งรีบเกินไป โดยไม่มีการปรึกษากันก่อน"

"ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ทั้งกับผม และกับนักเตะที่ค่าแรงน้อยๆ ผมจึงปฏิเสธ ลูกผมเพิ่งคลอด ผมมีภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นยังมีองค์กรการกุศลทั้งที่ตุรกี และเยอรมันอีกต่างหาก ซึ่งบางทีการตัดสินใจครั้งนี้ จะทำให้ผมได้เล่นน้อยลงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมไม่กลัวที่จะทำในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้อง"

ในมุมของโอซิลเขาอาจมีเหตุผล แต่มุมของอาร์เตต้า คิดว่านักเตะไม่ให้ใจเลย ถ้าคุณรักสโมสรจริง ต้องรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันต้องช่วยกัน แบบไม่ต้องคิดเยอะ และเงินแค่ 12.5% มันไม่ได้ทำให้การเงินวิกฤติขนาดนั้นหรอก

พอมีเหตุการณ์นี้ กลับมาจากเบรกโควิด โอซิลไม่ได้ลงสนามอีกเลยแม้แต่นาทีเดียว ซึ่งหลายคนก็เชื่อว่า อาร์เตต้าผิดหวังที่โอซิลอยู่กับสโมสรตั้งนาน แต่ไม่มีคาแรคเตอร์ของผู้นำ ที่พร้อมให้ใจสโมสรจริงๆ

ที่ผ่านมาอาร์เตต้าพยายามให้โอกาสโอซิลมาตลอด แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เขาลองสร้างทีมใหม่ขึ้นมาโดยไม่มีโอซิลเลยก็แล้วกัน

 

เมื่ออาร์เตต้าไม่ใช้งาน สโมสรเองก็ยินดีที่จะปล่อยโอซิลออกไป

สาเหตุเพราะโอซิลเป็นจุดศูนย์กลางของการถกเถียงในทุกๆเรื่อง จนทำให้ทีมขาดเอกภาพ อย่างแฟนบอลเวลาเห็นอาร์เตต้าดร็อปโอซิล ก็จะมีทีมโอซิล กับทีมอาร์เตต้า คือแทนที่ทุกๆคน จะมีเป้าหมายตรงกัน แต่กลับถูกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย

ยิ่งไปกว่านั้นโอซิลเอาตัวเข้าไปอยู่ในประเด็นดราม่าบ่อยเกินไปจนสโมสรเจ็บตัว ตั้งแต่ตอนที่ถ่ายรูปคู่กับประธานาธิบดีตุรกี ทั้งๆที่เขาต้องรู้ว่าเยอรมันกับตุรกีกำลังขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ลองคิดดูฮีโร่ของชาติกลับเลือกไปเข้าข้างฝั่งตุรกี นั่นทำให้แฟนบอลอาร์เซน่อลที่เยอรมัน มีจำนวนลดฮวบลงจากเดิม

จากนั้นในเดือนธันวาคม 2019 เขาโพสต์ในไอจี โจมตีประเทศจีนว่าสั่งเผาอัลกุรอ่าน และสั่งปิดมัสยิดของชาวอุยกูร์ ที่แคว้นซินเจียง ซึ่งโอซิลได้รับการซัพพอร์ทจากชาวมุสลิมทั่วโลก แต่ว่ามันสร้างความโกรธแค้นให้ฝั่งรัฐบาลจีน จนจีนสั่งแบนห้ามทีวีถ่ายทอดสดเกมอาร์เซน่อล จนสโมสรเกิดความเสียหายหลายล้านปอนด์

ดราม่ามันเยอะขนาดนี้ แถมต้องจ่ายเงินฟรีๆ วีกละ 350,000 ปอนด์ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ต้องเก็บโอซิลไว้ ดังนั้นในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2020-21 สโมสรจึงขอยกเลิกสัญญา ให้โอซิลย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว

แต่ปัญหาคือโอซิล "ไม่ไป" เขาขออยู่กับทีมจนหมดสัญญา โกยเงิน 350,000 ปอนด์ต่อวีกไปเรื่อยๆ คือจะย้ายไปทำไม ในเมื่อได้เงินมหาศาลที่นี่ เขาก็มาซ้อมตามปกติ คุณไม่อยากใช้ ก็แล้วแต่ แต่ต้องจ่ายเงินมาแค่นั้น

เมื่อต้องจ่ายเงินไปเรื่อยๆแบบนี้ มีข่าวว่าสโมสรแนะนำให้อาร์เตต้ากลับไปใช้งานโอซิลบ้าง ไม่งั้นก็เสียเงินฟรีไปเรื่อยๆ แต่อาร์เตต้าตัดสินใจไปแล้ว ว่าจะเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีโอซิล เขาจึงไม่ใส่ชื่อนักเตะในการลงทะเบียนของพรีเมียร์ลีก และในการลงทะเบียนของยูโรป้าลีก แม้แต่ตอนที่เซอัด โคลาซินัช ย้ายไปชาลเก้ จนเหลือสล็อตพื้นที่ว่างให้ลงทะเบียนได้ อาร์เตต้าก็ยังไม่ยอมใส่ชื่อโอซิล เขาชัดเจนมากจริงๆ

โอซิล กับสโมสร ก็อยู่กันมาอย่างนี้ มีการคำนวณว่า ตั้งแต่วันที่โอซิลลงเล่นนัดสุดท้ายให้สโมสร ในเดือนมีนาคม 2020 ทีมปืนใหญ่จ่ายค่าเหนื่อยให้โอซิลไปแล้ว 15 ล้านปอนด์ โดยไม่ได้ใช้งานแม้แต่นาทีเดียว

เข้าสู่เดือนมกราคม 2021 โอซิลเองก็เริ่มเห็นถึงปัญหา กล่าวคือ เขาคือนักฟุตบอลอาชีพ และถ้าเขาไม่ลงเล่นฟุตบอลที่ไหนสักแห่ง คุณภาพฝีเท้าของเขาก็จะดร็อปลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับ เอดู ผู้อำนวยการเทคนิคของสโมสร ว่าปล่อยเป็นแบบนี้ ไม่มีประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย

สุดท้ายโอซิลจึงขอแยกทางกับอาร์เซน่อล โดยไม่รับค่าเหนื่อยที่เหลืออีก 5 เดือน ทีมปืนใหญ่ตอบตกลง นั่นทำให้โอซิลสามารถย้ายทีมได้อย่างอิสระทันที ขณะที่ฝั่งอาร์เซน่อลก็ประหยัดเงินไปได้ก้อนหนึ่งราว 7 ล้านปอนด์ และเป็นการขจัดปมดราม่าของทีมออกไปได้สำเร็จด้วย

โอซิลมีชอยส์มากมาย ทั้งเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์, ลีกกาตาร์, กัลโช่ เซเรีย อา อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจเลือกเฟเนร์บาห์เช่ ทีมที่เขาเชียร์มาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

ในลีกตุรกีนั้น ทีมที่ได้แชมป์ลีกครบ 5 ครั้ง จะได้ดาว 1 ดวง ปักไว้ที่หน้าอกเสื้อ ซึ่งทีมที่มี 4 ดวง มีสโมสรเดียวคือกาลาตาซาราย (แชมป์ 22 ครั้ง) ขณะที่เฟเนร์บาห์เช่ ตอนนี้มี 3 ดวง (แชมป์ 19 ครั้ง) ขาดอีกเพียงแค่แชมป์ 1 สมัย ก็จะสามารถติดดาวได้ครบ 4 ดวงเทียบเท่ากาลาตาซาราย

ดังนั้นโอซิล ก็มองว่าเป็นโอกาสดี ที่เขาจะไปช่วยเฟเนร์บาห์เช่คว้าแชมป์ และถ้าเขามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้สโมสรได้ดาวครบ 4 ดวง คงเป็นอะไรที่คลาสสิคมากๆ

 

เมซุต โอซิล กับอาร์เซน่อล ก็จบลงตรงนี้ ปิดฉากเรื่องราวเอาไว้ที่ 7 ปีครึ่ง

แน่นอน เขามีดราม่าเยอะแยะมากมาย แต่ในส่วนดีๆที่โอซิลสร้างเอาไว้ก็มีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในรอบ 7 ปีครึ่งที่ผ่านมา นักเตะคนที่ "สร้างโอกาส" ให้เพื่อนได้จบสกอร์มากที่สุด คือคริสเตียน อีริคเซ่น (569 ครั้ง) ส่วนโอซิล อยู่อันดับ 2 ที่ 557 ครั้ง

ถ้าวัดกันที่การสร้างโอกาสให้เพื่อน โอซิลมีสถิติดีกว่า เควิน เดอ บรอยน์ หรือเอแด็น อาซาร์ด้วยซ้ำ

อาร์แซน เวนเกอร์ อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นว่า "ศิลปินต้องการการสนับสนุนที่ดี เพื่อให้เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่ การที่คุณไปกดดัน ไปจี้ๆเขา มันไม่ได้ผลหรอก"

"โอซิลคือศิลปิน ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และคนแบบนี้คุณจำเป็นต้องทำให้เขามั่นใจ ว่าตัวเองมีความสำคัญ การสร้างความเชื่อใจ ระหว่างโค้ชกับนักเตะ มันมีความหมายมากๆ กับการใช้งานนักเตะสไตล์นี้"

บทสรุปของเรื่องนี้ สุดท้าย ต่างคนก็แยกไปตามเส้นทางของตัวเอง สโมสรก็มูฟออน ส่วนโอซิลก็สู้ต่อไปในลีกใหม่

แม้จะจบแบบไม่ค่อยประทับใจนัก แต่เชื่อว่าแฟนอาร์เซน่อลทุกคนยังจำวันที่สโมสรประกาศว่าได้ตัวโอซิล ในตลาดนักเตะวันสุดท้ายของปี 2013 ได้อย่างดี มันเป็นความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ที่ได้ตัวผู้เล่นเวิลด์คลาสขนาดนี้

เพลงที่แฟนๆ แต่งให้อาร์เซน่อลในวันแรกที่เขาย้ายมา มีชื่อว่า We've Got Ozil มีเนื้อว่า

We've got Ozil

Mesut Ozil

I just don't think you understand

He's Arsene Wegner's man

He's better than Zidane

We've got Mesut Ozil

เราได้โอซิล

เมซุต โอซิล

ฉันคิดว่าพวกแกคงไม่เข้าใจ

เขาคือขุนพลคนใหม่ของเวนเกอร์

เขายอดเยี่ยมยิ่งกว่าซีดาน

นี่คือว่าที่ตำนาน เมซุต โอซิล

#OZIL

สมัครสมาชิก